Monday, April 18, 2011

ลาก่อน เจ้าด่าง ที่รัก

by Phatanadit Kulphaichitra on Saturday, 04 September 2010 at 20:01

สิบสามปีก่อนหน้านี้ ลูกหมาไทยผสมสองตัวติดตามคนงานก่อสร้างเข้ามาในพื้นที่จัดสรรของโครงการก่อสร้างชานเมืองกรุงเทพมหานคร ตลอดระยะเวลาก่อสร้างเป็นเวลาปีเศษ เจ้าสองตัวนี้ได้เข้ามาอยู่อาศัยและใช้ชีวิตร่วมกันระหว่างคนงาน กับพี่น้องร่วมท้องอย่างไม่รู้จักกับความทุกข์ร้อนใดๆ หลังจากบ้านหลังนั้นสร้างเสร็จกลุ่มคนงานได้จากไปในเวลาใกล้เคียงกับที่เจ้าของบ้านใหม่ย้ายเข้ามาอยู่อาศัย แต่ผู้ที่ยังคงอยู่คือเจ้าลูกหมาสองตัวที่ได้เปลี่ยนฐานะจากสุนัขของคนงานก่อสร้าง มาเป็นสุนัขของบ้านใหม่หลังนั้น เป็นวาสนาที่ของหมาที่ได้เปลี่ยนฐานะโดยที่ตัวมันเองก็คงคาดไม่ถึง จากเศษอาหารของคนงานทานเหลือ มาเป็นอาหารที่จัดแบ่งโดยเฉพาะสำหรับสุนัขประจำบ้าน มาเป็นอาหารสำเร็จรูปและอาหารพิเศษต่างๆตามวาระโอกาส เจ้าหมาสองตัวก็ดูเหมือนจะผูกพันธ์กับเจ้าของบ้านมาตั้งแต่ชาติที่แล้วต่างก็แสดงความรักต่อกันได้อย่างราบรื่น แต่ความไม่เท่าเทียมก็เป็นเรื่องประจำโลกนี้อยู่ทุกหนแห่ง เพราะระหว่างหมาสองตัวนี้ ตัวสีขาวนวลมีความน่ารักกว่าอีกตัวที่มีสีน้ำตาลอ่อนและแต้มเหลืองกระจายอยู่เต็มตัว จนได้ชื่อเรียกโดยปริยายว่า “เจ้าด่าง” แต่แล้วความรักที่ลำเอียงก็ถูกโชคชตาเล่นตลกแบบน้ำตาล่วงเพราะเจ้าตัวสีขาวที่เริ่มเป็นที่รักของทุกคนนั้นได้ตายลงอย่างกระทันหัน ความสูญเสียญาติสนิทที่เกิดตามกันมา กลับเป็นโชคใหญ่ของเจ้าด่าง เพราะไม่มีใครมาแบ่งความรักไปจากมันอีก ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าของบ้านหลังนั้นได้ให้ความรักความเอ็นดูต่อเจ้าด่างโดยที่มิได้แบ่งปันไปให้หมาตัวอื่นใด 

จากวันนั้นมา เจ้าด่าง ได้เติบโตจากลูกหมามาเป็นหมาสาวหุ่นดีเหมือนหมาไทยๆขนสั้นที่เห็นกันทั่วไป แต่ความด่างของสีแต้มตามตัวตั้งแต่เกิดมากลับกลายเป็นขนระเอียดนุ่มสวยและดกที่น่ากอดน่าเล่นอย่างไม่มีที่ติด ที่สำคัญเจ้าด่างมีความสนุกขี้เล่น แต่หวงพื้นที่อย่างเอาเป็นเอาตาย เจ้าของบ้านได้รับรายงานจากผู้ช่วยงานบ้านอยู่บ่อยๆว่า เจ้าด่างมักจะกระโดดไปเดินอยู่บนขอบรั้วปูนรอบๆบ้านตอนกลางคืน เหมือนเป็นทหารยามคอยตรวจตราความปลอดภัย ความหวงพื้นที่ของเจ้าด่างเป็นโจทย์ขานกันทั่วในกลุ่มเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย และตำรวจสายตรวจในระแวกนั้น เพราะต่างเคยถูกเจ้าด่างวิ่งไล่งับขามากันโดยถ้วนทั่ว และครั้งหนึ่งที่เจ้าด่างเองก็โดนเอาคืนโดยโดนตีคิวแตกเป็นแผลเล็ก เพราะคงไปไล่คนที่จ้องจะแก้แค้นเอาคืนในที่สุด แต่โดยรวมแล้ว ชีวิตเจ้าด่างนับว่ามีความสุขมาก ได้อยู่ในที่ดีๆ มีอาหารและการดูแล รวมทั้งได้รับความรักความอบอุ่นจากเจ้าของบ้านอย่างต่อเนื่อง

ความดื้อและขี้เล่นของเจ้าด่าง ผสมกับความหวงพื้นที่นับเป็นปัญหาสร้างความปวดหัวให้กับเจ้าของบ้านเอาการอยู่ เพราะเมื่อใดที่ประตูเปิด เจ้าด่างมันจะต้องออกไปวิ่งไล่เห่าคนที่เดินผ่านไปมาอย่างน่าโมโห เมื่อเจ้าของบ้านออกไปตาม มันก็จะแกล้งหันมายั่วก่อนที่จะวิ่งๆหยุดๆให้ตามไม่ทัน และทุกครั้งที่หันมามอง ก็เหมือนทำหน้ายิ้มเยอะให้เจ้าของบ้านหงุดหงิดมากขึ้น พอจัดตัวได้ ก็จะทำเป็นเชื่อฟังเดินตามกลับเข้าบ้าน แต่พอเจ้าของทำท่าจะตี เจ้าด่างก็ร้องโอดโอยเหมือนกับโดนตีไปเรียบร้อยแล้ว ทุกคนในบ้านต่างรู้ดีว่า เจ้าด่างมีมารยาเยอะ เอาตัวรอดไปได้เรื่อยๆ จนมาครั้งสำคัญที่เจ้าด่างไปออกฤทธิ์ กัดคนข้างบ้านเป็นครั้งที่สอง จนต้องพาไปทำแผลที่โรงพยาบาล จากนั้นมาเจ้าด่างเป็นอันต้องหมดสิ้นอิสรภาพ ด้วยการโดนล๊อกโซ่กับปลอกคออยู่เป็นระยะเวลาหลายปี จะเดินเล่นได้ก็เฉพาะเวลาที่พาออกไปเดิน หรือตามระยะที่โซ่จะยาวไปถึง เพราะนิสัยที่เคยตัวและความสามารถที่กระโดดขึ้นไปบนรั้วขนาน เมตรครึ่งทำให้เจ้าของบ้านไม่มีทางเลือกนอกจากล่ามเจ้าด่างเอาไว้ และในที่สุดเจ้าด่างก็ได้อิสระภาพอีกครั้งหลังจากที่ไม่แสดงอาการออกฤทธิ์แบบเดิมอีก แต่ก็เป็นเวลาหลายปีผ่านไป

เมื่อเข้าปีที่ 10 เจ้าด่างที่เคยดุดันในสายตาคนภายนอก กลับกลายเป็นหมาที่น่ารักสำหรับทุกคน เพราะมันจะเลือกเห่าเฉพาะคนแปลกหน้าที่แต่งตัวเหมือนคนงานก่อสร้าง แต่ยังคงทำศึกกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในเครื่องแบบอย่างต่อเนื่อง เว้นแต่ว่ามีแต่เสียงโดยไม่มีเจตนาจะทำร้ายอย่างจริงจังแต่อย่างใด แม้จะอายุมากแล้วแต่ความขี้เล่นยังคงมีอยู่อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะเมื่อเวลาที่เจ้าของบ้านตกอยู่ในความทุกข์เหม่อลอย เจ้าด่างจะเข้ามาคลอเคลีย ทำหน้าทะเล้นหลอกล่อให้เล่นด้วยเหมือนในช่วงที่ผ่านมาอย่างไม่เปลี่ยนแปลง แถมเกิดอาการแผลงๆเช่นเวลาจะดื่มน้ำในอ่างที่เตรียมไว้ให้ ก็จะเอาเท้าทั้งสองแช่ไปด้วย แถมยังเอาเล็บเท้าขูดๆอ่างเหมือนจะขุดเพิ่มให้มันลึกกว่าเดิม อาการที่เห็นได้บ่อยๆคือการที่ลงไปนอนกลิ้งไปกลิ้งมา ยกขาทั้งสี่ชี้ฟ้า หรือนอนยกขาหน้าเอาอุ้งเท้าประกบกันขยับๆเหมือนนอนไว้เทวดาบนฟ้าประลกๆ เป็นที่น่าขบขัน ที่ไม่เคยขาดหายไปไหนเลยคือสายตัวเป็นประกายที่แฝงไว้ด้วยความสุข เหมือนยิ้มด้วยตาอยู่ทุกครั้งที่หันมามองเจ้าของบ้าน ซึ่งฉันจำได้ดีเมื่อปีที่สิบสามมาถึง เจ้าด่างก็ไม่สามารถฝืนความร่วงโรยของสังขารไปได้ ความแก่ชราเข้ามาเปลี่ยนความกำยำล่ำสรร จากความปราดเปรียวสวยงาม เป็นความเชื่องช้าและเริ่มที่จะช่วยตัวเองไม่ได้ บางครั้งมีอาการไอและหอบเป็นระยะๆ แต่เจ้าด่างก็ยังรักษากิจวัตรที่ต้องออกไปเดินนอกบ้านรักษาถิ่นเหมือนทุกวันช่วงที่มีอิสระเป็นปีๆที่ผ่านมา แต่เมื่อกลับเข้ามาแล้วก็จะมานอนพักเหมือนไปออกแรงมากๆจนเหนื่อยอ่อนและหลับไปในที่สุด อาการเหล่านี้เป็นที่จับตามองโดยเจ้าของบ้านที่รักและผูกพันธ์กับเจ้าด่างมาตลอดเวลาสิบสามปี 

และวันสุดท้ายก็มาถึง เมื่อเช้าที่ผ่านมา เจ้าด่างยังคงใช้ชีวิตเหมือนเช่นทุกวัน ตั้งแต่เช้า บ่ายจนกระทั้งเข้าช่วงเย็น ในเวลาที่ความพลัดพรากก็มาถึงนั้น ฉันได้ทราบว่าเจ้าด่างถูกรถของคนในซอยถัดไปชนตายห่างจากประตูบ้านไปไม่กี่สิบเมตร  เมื่อฉันไปถึง เจ้าด่างได้สิ้นใจไปแล้ว ฉันได้แต่เข้าไปอุ้มมันเข้าบ้าน ยังได้สัมผัสขนนุ่มๆฟูของมันเป็นครั้งสุดท้าย ถึงแม้จะเตรียมใจไว้ก่อนหน้านั้นแล้วว่า เวลาของเราที่จะอยู่ร่วมบ้านกันเหลือน้อยลงทุกวัน ก่อนหน้านั้นวันเดียว ฉันยังนึกในใจเพื่อบอกกับมันว่าหากไม่ไหวแล้วก็ไปเถิดนะ อย่าทรมารต่อไปอีกเลย แต่ในที่สุด เจ้าด่างมิได้ตายจากไปโดยความชรา แต่กลับเป็นอุบัติเหตุที่ไม่น่าเกิดขึ้น ฉันได้แต่กลั้นน้ำตาเอาไว้ ลูบหัว ปิดตามัน และขอให้มันไปสู่ชาติที่ดีกว่าเดิม ฉันอยากจะบอกมันอีกครั้งว่า ลาก่อนนะ เจ้าด่าง ขอบคุณสำหรับความสุขความสบายใจในช่วงที่ผ่านมา...ขอบคุณมาก

พัฒนดิฐ
4 กันยายน 2553

Labels:

0 Comments:

Post a Comment

Subscribe to Post Comments [Atom]

<< Home